ปัจจัยที่๋ผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นและลง นั้นมีอะไรบ้าง?
จริง ๆ แล้ว มีปัจจัยมากมายที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งบางอย่างก็คาดการณ์ได้ง่าย แต่บางอย่างก็ยาก แต่โดยสรุปนั้นมี 3 ประการ ได้แก่
1. ปัจจัยพื้นฐาน
ที่จะกำหนดความพอใจที่จะซื้อขายหุ้นหรือก็คือการเลือกซื้อหุ้นจากบริษัทที่มีพื้นฐานดี ซึ่งเราจะดูจากงบการเงินของบริษัทค่ะ (จะซื้อเมื่อวิเคราะห์แล้วว่าหุ้นนั้นราคาถูกจริง หรือเป็นการซื้อถูกขายแพง) โดยอัตราส่วนที่สำคัญ ๆ จะมีดังนี้
- กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earning Per Share, EPS) : เป็นค่าที่แสดงว่าบริษัทนั้นมีผลการดำเนินงานที่ดีและมีการเติบโต
- อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) : ถ้ามีค่าสูงสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้นจะแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจต่อรองกับลูกค้าได้สูง
- ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานต่อรายได้ (Operation Cost Margin) : โดยบริษัทที่มีตราสินค้าที่ดีจะมีอัตราส่วนนี้ค่อนข้างสม่ำเสมอ และควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้สูงและเพิ่มขึ้น
- อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) : ถ้าอัตราส่วนนี้สูงสม่ำเสมอ จะหมายถึงธรรมชาติของบริษัทนั้นว่ามีความสามารถในการแข่งขันสูง
- หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุน (Debt to Equity, D/E) : แสดงถึงบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และไม่ต้องการหนี้จากการกู้ยืมสามารถระดมเงินได้ด้วยตัวเอง
- ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (Return on Equity, ROE) : ถ้ามีค่าสูงแสดงว่าบริษัทที่ใช้กำไรที่เก็บไว้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
- ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset, ROA) : ถ้ามีค่าเพิ่มขึ้นจะแสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ของบริษัทที่ดีขึ้น
- ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price to Earning Ratio, P/E) : เป็นอัตราส่วนที่แสดงว่าราคาตลาดของหุ้นเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น ซึ่งถ้าค่าน้อย แปลว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทสูง เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในขณะนั้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นนั้นๆ ถูกกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ในทางทฤษฎี
- ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price to Book Value Ratio, P/BV) : จะแสดงว่าราคาซื้อขายของหุ้นเป็นกี่เท่าของมูลค่าทางบัญชี
2. ปัจจัยเทคนิค ไม่ใช่แค่การดูกราฟเท่านั้น แต่หลัก ๆ จะใช้การดูกราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อและจุดขายเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา ซึ่งเทคนิคนี้จะไม่ค่อยดูงบการเงินละเอียดเหมือนแบบแรก แต่เป็นการหาจังหวะซื้อขายที่เหมาะสมมากกว่า (แบบนี้ซื้อแพงได้ แต่ต้องขายให้ได้แพงกว่า) แต่รวมถึงในด้านต่างๆด้วย โดยมีแนวคิดหลักคือ “ปัจจัยที่ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการดำเนินงานของบริษัท
ก็สามารถส่งผลต่อราคาหุ้นได้” ปัจจัยต่างๆ อย่างเช่น
1 ความเคลื่อนไหวของหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
1 ความเคลื่อนไหวของหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
2 ตราสารทางเลือกอื่นๆ
3 การซื้อขายผิดปกติในตลาด
4 เทรนด์หรือแนวโน้มตลาดหุ้น
5 สภาพคล่อง
6 ปัจจัยอื่นๆ
3. ภาวะตลาด เป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดทิศทางราคาหุ้น เช่น ในภาวะที่ตลาดเป็นขาลง หุ้นก็จะปรับตัวขึ้นได้ยาก นั่นเอง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในหัวข้อนี้คือ ช่วงวิกฤติที่ตลาดหุ้นลงหนักอย่างปี 40 ที่หุ้นลงทุกตัว นั่นล่ะค่ะถือว่าเป็นภาวะตลาด
เมื่อเรารู้ปัจจัยต่าง ๆ แล้ว ต่อมาเรามาดูเทคนิคกันดีกว่าค่ะ กับ “4 วิธีเพิ่มโอกาสทำกำไรในหุ้น”
1. ศึกษาข้อมูลของกิจการก่อนซื้อหุ้น โดยก่อนที่จะลงทุนในหุ้นควรศึกษาถึงภาพรวมของเศรษฐกิจรวมถึงปัจจัยบวกและลบของอุตสาหกรรมของหุ้นที่สนใจ
สิ่งที่สำคัญคือต้องศึกษาถึงปัจจัยด้านต่างๆ เช่น
ความเสี่ยง, ลักษณะการประกอบธุรกิจ, แผนงานในอนาคต, ลักษณะการบริหารของผู้บริหาร, งบการเงิน และผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
เป็นต้น ซึ่งข้อมูลนี้สามารถหาอ่านได้จากแบบรายงาน 56-1 หรือรายงานประจำปีค่ะ
2. ไม่ทำรายการซื้อๆขายๆหุ้นบ่อย
เพราะหากทำการซื้อขายบ่อย ก็จะเสียค่าธรรมเนียมมากด้วย ดังนั้น
การเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว จะทำให้เราประหยัดค่าธรรมเนียมได้
รวมทั้งไม่ต้องเสียเวลามาติดตามราคาขึ้นลงบ่อยเกินไปอีกด้วย
3. อย่ายึดมั่นถือมั่นกับราคาในอดีตมากเกินไป
นักลงทุนทั้งมือเก่ามือใหม่หลายคนชอบใช้ราคาหุ้นในอดีตเป็นราคาเป้าหมายว่าราคาจะต้องขึ้นไปถึงจุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งการขึ้นลงนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและความคาดหวังของนักลงทุนในตลาด
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อขาย ควรพิจารณาถึงมูลค่าที่เหมาะสมในขณะนั้น
รวมถึงความคาดหวังจากกำไรของบริษัทในอนาคตเป็นหลัก
4. การแบ่งลงทุนเป็นชุดๆ
จะช่วยกระจายความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนผิดจังหวะเวลาได้
การเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรสูง
หรือมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยหากเป็นหุ้นที่มีกำไรสูงมูลค่าหุ้นก็จะสูงตามไปด้วย
และหากเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงและต่อเนื่อง
ราคาหุ้นจะไม่ค่อยตกลงมามากในกรณีที่ตลาดปรับตัวลงแรง
และเงินปันผลที่ได้ยังสามารถนำไปขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้อีกด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น