4 วิธีเพิ่มโอกาสทำกำไรในหุ้น!!


สำหรับบทความนี้มีแนวคิดดีๆมาฝากกันค่ะ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทไหน ก็สามารถนำไปใช้ได้ กับ “4 วิธีเพิ่มโอกาสทำกำไรในหุ้น >_< 

แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าค่ะว่า นักลงทุนนั้นมีแบบไหนกันบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

1. Value Investor : เน้นลงทุนหุ้นคุณค่าหรือหุ้นที่ประเมินแล้วว่าจะมีการเติบโตในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการถือยาว ๆ ไม่สนใจการแกว่งของราคารายวัน เพราะเชื่อมั่นว่ากิจการดีแน่นอน ตัวอย่างนักลงทุนประเภทนี้อย่างเช่น 

ดร.นิเวศ (คงรู้จักทุกคนนะคะ^^) หรือนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรนต์ บัฟเฟต ก็เป็นนักลงทุนประเภทนี้ค่ะ

2. Yield Investor: เน้นลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ๆ และถือหุ้นระยะยาว โดยเน้นผลตอบแทนแบบ Capital gain หรือเรียกว่าเป็นพวกที่ชอบเล่นหุ้นห่านทองคำ นั่นเองค่ะ นักลงทุนประเภทนี้จะมองว่าได้ปันผลสูง ๆ จะมั่นคงหากราคาแกว่งตัวรายวันไปในทางที่ไม่ค่อยดี อย่างน้อยก็ยังมีปันผล ทำให้คุ้มค่าต่อการลงทุนนั่นเอง

3. Momentum Investor: เน้นรอบการซื้อขายตามปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยทางเทคนิค รวมไปถึงกระแสเงินทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) กำไรจะมาจาก Capital gain หรืออาจมีปันผลด้วยในบางครั้ง

4. Speculate Investor: เน้นการเก็งกำไรเป็นสำคัญ โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐาน นักลงทุนประเภทนี้จะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค มักจะลงทุนระยะสั้น กำไรจะมาจาก Capital gain ล้วน ๆ


“4 วิธีเพิ่มโอกาสทำกำไรในหุ้น

  • ศึกษาข้อมูลของกิจการก่อนซื้อหุ้น โดยก่อนที่จะลงทุนในหุ้นควรศึกษาถึงภาพรวมของเศรษฐกิจรวมถึงปัจจัยบวกและลบของอุตสาหกรรมของหุ้นที่เราสนใจ สิ่งที่สำคัญคือต้องศึกษาถึงปัจจัยด้านต่างๆเช่น ความเสี่ยง ลักษณะการประกอบธุรกิจ แผนงานในอนาคต ลักษณะการบริหารของผู้บริหาร งบการเงิน และผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เป็นต้น ซึ่งข้อมูลนี้สามารถหาอ่านได้จากแบบรายงาน 56-1
  • ไม่ทำรายการซื้อๆขายๆหุ้นบ่อย เพราะหากทำการซื้อขายบ่อย ก็จะเสียค่าธรรมเนียมมากด้วย ดังนั้น การเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว จะทำให้เราประหยัดค่าธรรมเนียมได้ รวมทั้งไม่ต้องเสียเวลามาติดตามราคาขึ้นลงบ่อยเกินไปอีกด้วย
  • อย่ายึดมั่นถือมั่นกับราคาในอดีตมากเกินไป นักลงทุนทั้งมือเก่ามือใหม่หลายคนชอบใช้ราคาหุ้นในอดีตเป็นราคาเป้าหมายว่าราคาจะต้องขึ้นไปถึงจุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการขึ้นลงนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและความคาดหวังของนักลงทุนในตลาด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อขาย ควรพิจารณาถึงมูลค่าที่เหมาะสมในขณะนั้น รวมถึงความคาดหวังจากกำไรของบริษัทในอนาคตเป็นหลัก
  •  สร้างระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ บ่อยครั้งที่เรามักเข้าผิดตัว ผิดจังหวะ ดังนั้นหากต้องการลดความเสี่ยง ขอแนะนำเทคนิคที่น่าสนใจ ได้แก่

·     การกระจายความเสี่ยงโดยถือหุ้นหลายตัวและหลายอุตสาหกรรม โดยหุ้นที่อยู่ในพอร์ตควรมีการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีหลายๆตัว และมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีก

·     การแบ่งลงทุนเป็นชุดๆ จะช่วยกระจายความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนผิดจังหวะเวลาได้

·     การเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรสูง หรือมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยหาเป็นหุ้นที่มีกำไรสูงมูลค่าหุ้นก็จะสูงตามไปด้วย และหากเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงและต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะไม่ค่อยตกลงมามากในกรณีที่ตลาดปรับตัวลงแรง และเงินปันผลที่ได้ยังสามารถนำไปขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้อีกด้วยค่ะ


หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนหลาย ๆ คนในการนำไปปรับใช้กับตัวเองกันนะคะ เพราะแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลียนแบบเทคนิคกันและกันแบบเป๊ะ ๆ ได้ ขอให้ทุกท่านมองที่ตัวเราก่อนว่าเราเหมาะกับการลงทุนประเภทไหน มันไม่มีวิธีที่ดีไปกว่ากันหรอกค่ะ ขึ้นกับว่าใครจะเอาวิธีไหนมาใช้ให้ได้กำไรขึ้นมาต่างหากค่ะ ^^


1 ความคิดเห็น: