...ช่วงนี้เห็นมือใหม่ถามกันเยอะพอสมควร
เกี่ยวกับเรื่องการเปิดบัญชีหุ้น ว่าบัญชีหุ้นนั้นมีกี่แบบ แล้วจะเปิดแบบไหนดี
วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ ^^
สำหรับบัญชีหุ้นนั้น เราแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ
- บัญชีเงินสด (Cash Account)
เป็นบัญชีที่เราต้องชำระค่าซืื้อขายหุ้นเต็มจำนวนด้วยเงินสดโดยมีโบรกเกอร์พิจารณาอนุมัติวงเงินให้กับเรา (ซึ่งพิจารณาจาก Statement ที่เราเอามายื่นนั่นเอง)
ทีนี้เวลาที่เราจะทำการซื้อขาย เราจะต้องวางหลักประกันด้วยการฝากเงินเข้าไป 15-20% ของจำนวนเงินที่เราจะซื้อขาย
(แล้วแต่โบรก) ซึ่งเราสามารถโอนเงินหรือตัดเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารอัตโนมัติ (ATS)
ได้ค่ะ เช่น
วงเงินเรา 10,000 บาท แล้วเราทำการซื้อขาย 10,000 บาท เราจะต้องเอาเงิน 2,000 บาท (20%) ฝากเข้าไปก่อน
แล้วอีก 3 วันจึงจะมีการหักอีก 8,000 บาทค่ะ
ข้อดี คือ
การชำระเงินค่าซื้อ ซึ่งยังไม่ต้องชำระเงินโดยทันที
ทางบริษัทหลักทรัพย์จะตัดเงินค่าซื้อหุ้นจากบัญชีธนาคารที่คุณแจ้งไว้ในวันทำการที่
3 จากวันที่คุณสั่งซื้อหุ้น (T+3)
เช่น คุณซื้อหุ้นวันที่ 1 มิถุนายน 2558
เงินจะถูกตัดบัญชีในวันที่ 3 มิถุนายน 2558
ในทางกลับกัน คุณจะได้รับเงินจากการขายหุ้นในวันทำการที่ 3 จากวันที่คุณสั่งขายด้วยเช่นกันค่ะ
- บัญชีเงินฝาก (Cash Balance Account)
สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 5,000 บาท เป็นบัญชีที่เราสามารถซื้อขายได้เท่ากับจำนวนเงินที่นำมาฝากไว้กับทางโบรกเกอร์
ซึ่งเงินฝากของเราก็จะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามอัตราที่โบรกเกอร์กำหนด (ซึ่งมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากแน่นอน)
และเมื่อเราสั่งซื้อหุ้น เงินจะถูกหักออกจากบัญชีนั้น ดังนั้น
ก่อนส่งคำสั่งซื้อขาย เราต้องตรวจสอบด้วยว่าเรามีเงินในบัญชีที่เพียงพอสำหรับชำระค่าซื้อหรือไม่
และอีกคำถามที่พบบ่อย ๆ ก็คือ ฝากเข้ามาแล้วยังมาทำการซื้อขายได้ไหม? ตอบเลยค่ะ ว่า “ได้”
เมื่อเราพร้อมทั้งใจทั้งความรู้ หรือหลาย ๆ อย่าง เราค่อยทำการซื้อขายก็ได้ค่ะ
เพราะยังไงก็เป็นบัญชีเราซึ่งจะคล้าย ๆ กับฝากธนาคารนั่นล่ะค่ะ แต่ได้ดอกเบี้ยเยอะกว่าและอยากซื้อขายหุ้นเมื่อไหร่ก็ทำได้เลยค่ะ
^^
ข้อดี คือ การซื้อขายหุ้นผ่านบัญชีประเภทนี้จะมีการคิดค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าบัญชีประเภท
Cash Account เมื่อส่งคำสั่งซื้อขายผ่าน
Internet และไม่ต้องวุ่นวายอะไรมากเกี่ยวกับวงเงิน
**ซึ่งบัญชีประเภทนี้เหมาะกับมือใหม่อย่างยิ่งเลยค่ะ
- บัญชีเครดิตบาลานซ์ (Credit Balance Account)
เป็นบัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ที่ต้องเสียดอกเบี้ยตามที่โบรกเกอร์กำหนด
โดยเราจะต้องวางเงินสดหรือหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นประกันเพื่อกู้ยืมเงินจากบริษัทหลักทรัพย์เพื่อซื้อขายหุ้น
โดยใช้เงินสดหรือหุ้นที่มีเป็นหลักประกัน ทำให้เงินก้อนเดิมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นหากหุ้นที่ซื้อปรับตัวเพิ่มขึ้น
แต่ทางบริษัทก็จะมีการคิดดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินด้วย
ซึ่งวงเงินที่ได้รับ ขึ้นอยู่กับมูลค่าของหลักประกันและตัวหุ้นที่ใช้เป็นหลักประกันซึ่งแต่ละตัวมีอัตรา
Margin ที่แตกต่างกัน
ดังนั้น
หากมูลค่าหุ้นที่ใช้เป็นหลักประกันปรับตัวลง
ทางบริษัทจะแจ้งให้ลูกค้านำหลักประกันมาวางเพิ่ม หากไม่สามารถทำได้
หุ้นที่ลูกค้าใช้เงินที่กู้ยืมซื้อมาจะถูกบังคับขายไป ทำให้มีโอกาสขาดทุนได้ง่ายด้วยเช่นกัน โดยบัญชีแบบนี้เหมาะกับนักลงทนที่มีเงินทุนสูงๆ
ค่ะ
ข้อดี คือ ทำให้เงินก้อนเดิมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนมากขึ้นหากหุ้นที่ซื้อปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอีก 2 บัญชีข้างต้นค่ะ
...เป็นยังไงกันบ้างคะ
ได้รู้ข้อมูลแบบนี้แล้วคงจะหมดคำถามกันแล้วใช่ไหมคะว่า "มือใหม่อย่างเรา
ควรเปิดบัญชีแบบไหน" ซึ่งขอบอกเลยว่า แบบที่ 3 นั้นอย่าเพิ่งไปแตะเลยค่ะ ไว้มีเงินเยอะ ๆ ก่อนค่อยอัพเกรดในอนาคตก็ได้ค่ะ
^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น